หากคุณเคยประสบปัญหาใต้ตาหมองคล้ำ ตาลึก หรือมีริ้วรอยจนทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา “ฟิลเลอร์ใต้ตา” อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา ไปเจาะลึกเกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตาทั้งหมด ตั้งแต่นิยาม วิธีการทำ ผลลัพธ์ ความเสี่ยง รวมถึงวิธีเลือกคลินิกอย่างปลอดภัย เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
ฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร?
ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid: HA) เข้าไปบริเวณใต้ตา เพื่อเติมเต็มร่องลึก ลดความหมองคล้ำ และทำให้ผิวใต้ตาดูเนียนเรียบมากขึ้น เป็นวิธีการเสริมความงามที่ไม่ต้องผ่าตัด และได้รับความนิยมสูงในวงการแพทย์ผิวหนังและคลินิกเสริมความงามในประเทศไทย
ทำไมคนถึงนิยมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา?
- ช่วยลดร่องลึกใต้ตาอย่างเห็นได้ชัด
- ลดอาการตาคล้ำ ตาดูโทรม
- ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สดใส
- ไม่ต้องพักฟื้นนาน
- ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
บริเวณที่นิยมฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
บริเวณที่นิยมฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา คือบริเวณใต้ตาล่าง ซึ่งมักเกิดร่องลึกหรือความหมองคล้ำ โดยฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มช่องว่างในชั้นผิว และทำให้ผิวบริเวณนั้นดูเรียบเนียนขึ้น
เทคนิคที่ใช้ในการฉีด
แพทย์อาจใช้เทคนิคเข็มแหลมหรือเข็มทู่ (Cannula) ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสมบูรณ์แบบและลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำ
ประเภทของฟิลเลอร์ที่เหมาะสำหรับใต้ตา
ฟิลเลอร์ใต้ตาที่ใช้ในปัจจุบันมักเป็นชนิด Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะในการเก็บความชุ่มชื้นและฟูตัวดี
ฟิลเลอร์ใต้ตายี่ห้อยอดนิยม
- Restylane (เรสไทเลน)
- Juvederm (จูวีเดิร์ม)
- Belotero (เบโลเตโร)
ทั้งนี้ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาและวางแผนการรักษา
- ทำความสะอาดใบหน้าและทายาชา
- แพทย์ทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ตรวจเช็คผลลัพธ์และคำแนะนำหลังการฉีด
ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที
ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน?
ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้และการดูแลตนเองของแต่ละคน หลังจากนั้นสามารถกลับมาฉีดซ้ำได้
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรรู้
แม้ว่า ฟิลเลอร์ใต้ตา จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่ก็อาจมีความเสี่ยงหากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์หรือใช้ฟิลเลอร์ปลอม เช่น
- อาการบวม ช้ำ รอยแดง
- ฟิลเลอร์ไหลหรือเป็นก้อน
- เกิดเส้นเลือดอุดตัน (ในกรณีร้ายแรง)
หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ใครไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ได้แก่:
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีอาการแพ้สาร HA อย่างรุนแรง
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น โรคเลือด โรคหัวใจบางประเภท
วิธีดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
หลังจากฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น:
- หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า 24 ชั่วโมงแรก
- งดการออกกำลังกายหนักและกิจกรรมที่ทำให้หน้าแดง เช่น ซาวน่า หรือแช่น้ำร้อน
- หลีกเลี่ยงการกด บีบ หรือถูใบหน้าแรงๆ
ค่าใช้จ่ายในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
ราคาของ ฟิลเลอร์ใต้ตา จะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ ปริมาณที่ใช้ และชื่อเสียงของคลินิก โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 9,000 – 25,000 บาท ต่อ 1 ซีซี
วิธีเลือกคลินิกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอย่างปลอดภัย
การเลือกคลินิกที่ปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมากในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรพิจารณาดังนี้:
- แพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม
- ใช้ฟิลเลอร์แท้ที่ผ่าน อย. เท่านั้น
- สถานที่สะอาด มีอุปกรณ์ครบครัน
- สามารถแสดงกล่องฟิลเลอร์พร้อม lot number ได้
สรุป: ฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร และคุ้มค่าหรือไม่?
ฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาลึก หมองคล้ำ หรือเริ่มมีริ้วรอยก่อนวัย และต้องการวิธีแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนโดยไม่ต้องผ่าตัด แม้จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่หากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็สามารถให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและน่าพึงพอใจได้
ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน และเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ความงามที่คุณต้องการมาพร้อมกับความปลอดภัยในระยะยาว